สำหรับใครที่ทำธุรกิจขายของอยู่ในยุคนี้ จะรู้ดีว่าการแข่งขันสูงมาก ไม่ว่าจะขายออนไลน์หรือออฟไลน์ก็ตาม แต่ที่สำคัญคือ หลายคนยังไม่มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ทำไปวันๆ แบบไม่มีทิศทาง วันนี้เห็นคู่แข่งทำอะไร ก็รีบทำตาม พรุ่งนี้เห็นเทรนด์อะไรก็กระโดดตาม สุดท้ายทรัพยากรหมด แต่ไม่ได้อะไรเลย
กลยุทธ์ที่ดี คือการเลือกอย่างมีเจตนา ตั้งใจเลือกอะไรสักอย่างหนึ่งในวันนี้ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่มีความหมายในวันข้างหน้า ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆ แล้วหวังว่ามันจะดีขึ้นเอง
สำหรับคนทำธุรกิจขายของ ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของร้าน หรือผู้บริหาร ต้องเก่งเรื่องกลยุทธ์ เพราะว่ากลยุทธ์เป็นเรื่องของ Top Down ถ้าข้างบนชัด มันจะชัดไปหมด ทีมงานจะรู้ว่าต้องทำอะไร ไปทางไหน ไม่ต้องมานั่งเดาหรือทำผิดแล้วค่อยแก้
ตัวอย่าง: แทนที่จะบอกทีมว่า "เราอยากเพิ่มยอดขาย" ซึ่งมันกว้างเกินไป ควรบอกว่า "เราจะเพิ่มยอดขายผ่าน Facebook 20% ภายใน 3 เดือน โดยเน้นสินค้ากลุ่ม A และ B" จะทำให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน
หลายคนที่ทำธุรกิจขายของมักสับสนระหว่าง Strategy กับ Tactics ทำสิ่งที่เป็น Tactics แต่คิดว่านี่คือกลยุทธ์
Strategy คือการกำหนดกรอบใหญ่ วางรากฐานระยะยาว เช่น เราจะขายให้กลุ่มไหน ตลาดไหน ใช้ช่องทางอะไร
Tactics คือขั้นตอนเฉพาะเจาะจง เช่น เราจะทำแคมเปญโฆษณาทางช่องทางไหน จะใช้โปรโมชั่นแบบไหน
ถ้า Strategy ไม่ชัดเจน การตัดสินใจด้าน Tactical จะไม่มีทิศทาง ทำไปทำมาก็ไม่รู้ว่าจะไปถึงเป้าหมายหรือเปล่า
สำหรับคนทำธุรกิจขายของ ต้องมี Dashboard ที่ดูได้ตลอดเวลา ไม่ใช่แค่ดูยอดขายอย่างเดียว แต่ต้องดูหลายมิติ:
ตัวอย่างจริง: ธุรกิจขายของบางร้านดูยอดขายดี แต่พอดูลึกๆ กลับพบว่าสต็อกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระแสเงินสดติดอยู่ เพราะให้เครดิตลูกค้ายาวเกินไป ถ้าไม่มี Feedback Loop ก็จะไม่รู้เลยว่ามีปัญหา
ธุรกิจขายของที่ดี ต้องมีความ Consistent คือทำซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ปีนี้เข้มงวดเรื่องคุณภาพ ปีหน้าปล่อยผ่าน ปีหน้าอีกกลับมาเข้มงวดใหม่
เหมือนมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีเกณฑ์การรับเข้าเข้มงวดตลอด จะทำให้คนเห็นภาพชัดเจนว่า แบรนด์นี้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ความน่าเชื่อถือ
สำหรับธุรกิจขายของก็เหมือนกัน ถ้าเราสม่ำเสมอในเรื่องคุณภาพสินค้า บริการหลังการขาย การจัดส่ง ลูกค้าจะจดจำและไว้วางใจเรา
Strategy ดีแค่ไหนก็ไม่ได้ผล ถ้าทำบ้างไม่ทำบ้าง ความมุ่งมั่นจะเกิดขึ้นได้ต้องมี Strategy ที่ชัดเจนแข็งแรง
เมื่อคุณเลือกสิ่งที่จะให้ความสำคัญอย่างรอบคอบแล้ว จงยึดมั่นกับสิ่งนั้น ไม่หวั่นไหว มันจะทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น และช่วยให้คุณต้านทานสิ่งรบกวนต่างๆได้
ตัวอย่าง: ถ้าธุรกิจขายของเรากำหนดว่าจะเน้นคุณภาพ ขายราคาพรีเมียม ก็ต้องยึดมั่นกับมัน อย่าเห็นคู่แข่งลดราคาก็รีบตามลดราคา เพราะมันจะทำลายภาพลักษณ์ที่เราสร้างมา
ระบบในธุรกิจขายของคงอยู่ได้เพราะมันสร้างคุณค่า แม้ว่าคุณค่านั้นจะไม่ชัดเจนในทันที ถ้าอยากเปลี่ยนระบบ ต้องเข้าใจก่อนว่ามันทำงานยังไง แล้วหาจุด Leverage Point
Leverage Point คือการกระทำเล็กๆที่สร้างการเปลี่ยนแปลงใหญ่ได้ เช่น เปลี่ยนจากการขายแบบซื้อครั้งเดียว เป็น Subscription Model จะลดแรงต้านทานในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าลงอย่างมาก
Culture คือตัวกำหนดว่าไอเดียจะเติบโตหรือล้มเหลว กลยุทธ์ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมองค์กรมักจะสำเร็จ
สำหรับธุรกิจขายของ วัฒนธรรมในองค์กรก็สำคัญมาก ถ้าทีมขายเน้นแต่ยอดขาย ไม่สนใจบริการหลังการขาย ระยะยาวลูกค้าจะไม่กลับมาซื้อซ้ำ
แต่ถ้าวัฒนธรรมคือการดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ มีบริการที่ดี ลูกค้าจะกลับมาซื้อซ้ำ และบอกต่อให้คนอื่นอีกด้วย
อย่าบอกทีมแค่ว่า "เพิ่มยอดขาย" เพราะมันกว้างเกินไป แต่ต้องบอกว่า "เพิ่มยอดขายต่างประเทศ 15% ใน 3 เดือน โดยเน้นช่องทาง A และ B"
ทุกคนจะได้เข้าใจตรงกัน และติดตามผลได้ชัดเจน รู้ว่าทำได้หรือยัง ต้องปรับอะไรหรือเปล่า
กลยุทธ์ที่ดีคือรู้ว่าอะไรควรทำ และอะไรไม่ควรทำ สำหรับธุรกิจขายของ มักจะมีโอกาสมาให้เลือกอยู่เสมอ
"อุ๊ยอันนี้น่าขาย อันนั้นก็น่าขยาย Line" ถ้าเจอโอกาสปุ๊บตามหมด โฟกัสจะอ่อนแอ ทรัพยากรจะกระจาย สุดท้ายไม่ได้อะไรเลย
ต้องมีกลยุทธ์ที่บอกชัดเจนว่า ถ้าโอกาสนี้โผล่มาจะทำ ถ้าโอกาสนี้โผล่มาจะปฏิเสธ เพราะมันไม่ได้อยู่ในเส้นหลักของกลยุทธ์
อย่าเพิ่งคิดมากว่าดีหรือไม่ดี ให้ทดสอบเล็กๆก่อนให้เร็วและถูก เมื่อเจอสูตรที่ได้ผลแล้วค่อยขยาย
เช่น อยากเพิ่มสินค้าใหม่ ก็ทดสอบขายเล็กๆก่อน ดูว่าตลาดตอบรับยังไง ลูกค้าชอบไหม ก่อนจะไปสั่งสต็อกเยอะๆ
วิธีนี้จะช่วยประหยัดทรัพยากร ลดความเสี่ยง และทำให้เราเรียนรู้เร็วขึ้น
อย่าวิเคราะห์มากจนเกินไป จนไม่มีวันลงมือทำ หลายธุรกิจขายของเสียเวลากับการประชุม วิเคราะห์ ปรับแผนไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยเริ่มทำจริงๆสักที
ต้องหาจุดสมดุล วิเคราะห์พอสมควร แล้วลงมือทำ เรียนรู้จากการทำ ปรับไปเรื่อยๆ จะได้ผลดีกว่า
ทุกการตัดสินใจวันนี้ต้องถามตัวเองว่า มันจะไปทำร้ายเราในระยะยาวไหม
อย่าเล่น Price War เพื่อกำไร Quarter นี้ แต่ทำลายคุณค่าแบรนด์ในอนาคต อย่าขายของไม่มีคุณภาพเพื่อเพิ่มกำไรระยะสั้น แต่ทำให้ลูกค้าผิดหวังและไม่กลับมาซื้อซ้ำ
ธุรกิจขายของที่ยั่งยืน ต้องสร้างระบบให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ไม่ใช่แค่ขายได้ครั้งเดียวแล้วจบ
ธุรกิจขายของในยุคนี้ ถ้าอยากอยู่รอด และเติบโตได้อย่างยั่งยืน ต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน ไม่ใช่แค่ทำไปวันๆ หรือทำตามคู่แข่ง
กลยุทธ์ที่แข็งแกร่งต้องมี 3 สิ่ง:
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง เราต้องโฟกัส มีเป้าหมายที่วัดได้ และปรับตัวอย่างต่อเนื่อง
จำไว้ว่า: ธุรกิจที่ดีคือธุรกิจที่ทำซ้ำได้ สร้างระบบให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ เหมือนร้านกาแฟดังที่ลูกค้ามาทุกวัน ไม่ใช่แค่ขายได้ครั้งเดียวแล้วจบ 🚀
สนใจเต็นท์ขายของ
https://mfoldingtents.lnwshop.com/
โทร 0938624847
line id : @mfoldingtents
#เต็นท์ขายของ #เต็นท์พับได้ #เต็นท์จอดรถ #เต็นท์ตลาดนัด #เต็นท์สกรีน
| หน้าที่เข้าชม | 1,226,362 ครั้ง |
| ผู้ชมทั้งหมด | 889,596 ครั้ง |
| เปิดร้าน | 12 มิ.ย. 2557 |
| ร้านค้าอัพเดท | 11 ธ.ค. 2568 |
ยินดีรับชำระเงินด้วย :
